MyFeed Personalized Content
พัฒนาการลูก 0-36 เดือน
บทความ

PLAYING: ทำความรู้จัก อาการโคลิค คืออะไร พร้อมวิธีดูแลเมื่อลูกมีอาการโคลิค

Add this post to favorites

ทำความรู้จัก อาการโคลิค คืออะไร พร้อมวิธีดูแลเมื่อลูกมีอาการโคลิค

โคลิค คือ อาการที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก ๆ ตั้งแต่แบเบาะ หรือช่วงวัย 3 เดือนแรก การร้องไห้เสียงดัง เป็นเวลานานจนหน้าแดง ทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกไม่สบายใจ กังวลว่าลูกจะเป็นอันตรายหรือไม่ มาทำความรู้จักอาการโคลิค เพื่อเตรียมรับมืออย่างถูกวิธีกันค่ะ

2นาที อ่าน

ทำความรู้จักกับโคลิค โคลิคคืออะไร

โคลิค (Colic) คือ การเรียกอาการของทารกที่ร้องไห้อย่างรุนแรง ซึ่งการร้องโคลิคนั้นพบได้ทั่วโลก ในต่างประเทศอาจพบได้ประมาณร้อยละ 5-25 สาเหตุยังไม่แน่ชัด แต่นอกจากอาการเจ็บป่วยทางร่างกายของทารกที่อาจเกิดขึ้นได้แล้ว ยังเป็นไปได้ว่า ทารกกำลังปรับตัว เพราะเพิ่งจะคลอดออกมาจากท้องแม่ได้ไม่นาน จึงต้องใช้เวลากว่าจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายนอก การดูแลทารกมีความสำคัญอย่างมาก ทารกควรได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนจากน้ำนมแม่ ที่มีสารอาหารที่สำคัญกว่า 200 ชนิด พร้อมด้วย LPR โพรไบโอติก ช่ว ยเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยแข็งแรง

อาการโคลิคเกิดจากอะไร

อาการโคลิคยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีข้อมูลว่า โคลิค มีหลายสาเหตุร่วมกัน ได้แก่

  1. ระบบทางเดินอาหาร : อาการของทารกที่ร้องโคลิคมักจะงอขาไปชิดหน้าท้อง จึงเป็นไปได้ว่า มีความผิดปกติที่ระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งการร้องไห้ของทารกที่ร้องอย่างรุนแรงเป็นเวลานาน ทำให้กลืนก๊าซเข้าไปในลำไส้ได้มาก อาจทำให้ทารกแน่นท้อง ไม่สบายตัวได้ ส่วนการแพ้สารอาหารที่ได้รับเข้าไปในร่างกายนั้น ยังไม่อาจสรุปได้ แต่การเคลื่อนไหวของลำไส้ที่มากกว่าปกติ อาจทำให้ทารกรู้สึกปวด การได้รับยาลดการบีบตัวของลำไส้ในทารกบางราย จึงช่วยให้อาการโคลิคดีขึ้นได้
  2. จิตวิทยาระบบประสาท : สุขภาพจิตของผู้เป็นแม่นั้น สัมพันธ์กับลูกน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกที่มีสายใยเชื่อมโยงถึงกัน จึงอาจส่งผลต่อทารก โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ที่ไม่เคยมีลูกมาก่อน จึงไม่มีความชำนาญ จนเกิดความรู้สึกวิตกกังวลหรือเครียดได้ อีกทั้งความรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย จากการเลี้ยงทารก ก็ส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของแม่ เมื่อทารกร้องไห้ และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้หยุดร้อง ก็ยิ่งเพิ่มความรู้สึกเครียดให้กับผู้เป็นแม่มากขึ้นได้
  3. พัฒนาการในทารก : เรื่องระบบประสาทและพัฒนาการของทารกเองก็สำคัญ ทารกที่ร้องไห้มากกว่ากลุ่มทารกทั่วไป อาจต้องใช้เวลาเพื่อให้ระบบประสาทและพัฒนาการดีขึ้น จนอาการร้องโคลิคหายไปได้เอง

อาการโคลิคพบได้ในโรคหลายโรค ซึ่งโรคส่วนใหญ่จะมีอาการเฉียบพลัน สาเหตุของโคลิค จึงอาจเป็นไปได้ว่าเกิดจาก

  • ลำไส้ของทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่
  • ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง
  • ลูกท้องผูก
  • ลูกแพ้นม
  • ขย้อนหรือสำลักอาหาร
  • เกิดแผล เช่น แผลที่รูก้น
  • การติดเชื้อในร่างกาย เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ
  • การได้รับอุบัติเหตุ เช่น กระดูกหัก แผลที่ตาดำ และแมลงเข้าไปในหู

เด็กที่เป็นโคลิคมีอาการอย่างไร

อาการของเด็กร้องโคลิคจะร้องเสียงดัง ๆ เป็นระยะเวลานาน มากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน มากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ และเป็นอยู่นานมากกว่า 3 เดือน ลักษณะการร้องจะผิดปกติ เสียงดังหรือนานกว่า ทารกคนอื่น ๆ นอกจากการร้องแล้ว ยังพบการเกร็ง หรือบิดตัว จะเห็นได้ว่า ทารกที่เป็นโคลิคบิดแขนและบิดขา ขณะร้องไห้ด้วย

การดูแลอาการโคลิค

เบื้องต้นเมื่อลูกร้องพ่อแม่อาจต้องสังเกตดูก่อนตามที่กล่าวในข้างต้น ว่าลูกร้องเพราะป่วยหรือเพราะโคลิค หากลูกร้องจากร้องโคลิคอาจลองใช้วิธีเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมหรือกิจกรรมให้ลูก เช่น พาลูกออกไปนั่งรถเล่น อุ้มลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้าน ลองเปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนสถานที่ และต้องคอยปลอบ ลูบหลัง เปิดเพลงช้าๆ เบาๆ ให้ลูกฟัง พาอาบน้ำอุ่น หรืออาจเบี่ยงเบนความสนใจ ลองจับลูกนั่งเก้าอี้โยก อาจจะช่วยให้เด็กหยุดร้องได้ โดยแนะนำให้พ่อแม่ลองทำไปทีละอย่าง และสังเกตว่าทำแบบไหนลูกจะร้องน้อยลง
ส่วนเรื่องของการรักษา ปัจจุบันพบว่ายาไม่ได้ช่วยมากนัก ทั้งนี้แนะนำให้ปรึกษากุมารแพทย์เพื่อหาสาเหตุของการร้องว่าไม่ได้เป็นจากเจ็บป่วยหรือเป็นโรค เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

ลักษณะอาการร้องของเด็กเป็นอย่างไร

  • ทารกจะมีอาการร้องไห้ที่รุนแรง คล้ายการโมโห
  • ทารกจะร้องแบบแผดเสียง จนหน้าแดง
  • มือของทารกจะกำหมัดแน่น
  • ขางอเข้าหาหน้าท้อง

โคลิคเกิดขึ้นได้กับเด็กอายุเท่าไหร่ เมื่อไหร่อาการจะหาย

อาการโคลิคอาจ จะเริ่มตอนอายุ 2 -3 สัปดาห์ แล้วจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง เมื่อทารกเติบโตขึ้น และอาจพบว่า ทารกร้องโคลิคน้อยลงเมื่ออายุ 3 - 4 เดือนขึ้นไป

จะทำอย่างไรเมื่อลูกมีอาการโคลิค มีวิธีแก้โคลิคอย่างไร

หากลูกเริ่มร้องโคลิค พ่อแม่ควรใส่ใจและเข้าไปอุ้มลูก พร้อมกับเช็คถึงสาเหตุที่ทำให้ทารกร้อง เช่น ผ้าอ้อมเปียกแฉะหรือไม่ อากาศบริเวณนั้นร้อนเกินไปหรือหนาวเกินไป หรือลูกกำลังหิว ก็ควรให้นมลูกตามที่ต้องการ ส่วนวิธีแก้โคลิค ทำได้ดังนี้

  • อุ้มลูกเดิน โดยอุ้มทารกไปพร้อมกับลูบหลังลูกเบา ๆ
  • หากสงสัยว่า ลูกปวดท้องให้ลองวางทารกในท่านอนหงาย จับเข่าลูกงอจนสุด วิธีนี้จะช่วยไล่ลมและขับแก๊สในท้อง
  • พาลูกไปอยู่ในสถานที่เงียบสงบ ห้องที่ไร้เสียงรบกวน ทารกจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
  • เปิดเพลงที่มีจังหวะช้า ๆ ฟังสบาย

แยกการร้องไห้ ออกจากอาการโคลิคได้อย่างไร

การร้องโคลิค ทารกจะร้องไห้อย่างรุนแรงเป็นเวลานาน มักจะพบว่า ทารกร้องไห้ในช่วงเวลาเดิมซ้ำ ๆ อาการของทารกจะมีอาการนานมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน มากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์และเป็นอยู่นานมากกว่า 3 เดือน

คำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ในช่วงที่ลูกเป็นโคลิค

พ่อแม่ควรสร้างบรรยากาศในการเลี้ยงดูทารก ให้มีความสงบเงียบ คล้ายกับตอนอยู่ในครรภ์ เพื่อให้ทารกรู้สึกปลอดภัย และใช้เวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ และควรอุ้มทารกเมื่อมีอาการโคลิค

ลูกเป็นโคลิคจำเป็นต้องไปพบแพทย์หรือไม่

การร้องโคลิคนั้น อาจสร้างความรู้สึกกังวลใจให้กับพ่อแม่ เพราะวิธีร้องของทารกจะรุนแรงผิดปกติ บางครั้งการร้องโคลิคก็รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้พ่อแม่ต้องคอยดูแลลูก ไม่ได้หลับไม่ได้นอน หรือเสียงร้องดังมากจนไปรบกวนคนอื่นได้ หากการร้องโคลิคของทารก มีผลต่อครอบครัวมากจนไม่สามารถพักผ่อนหรือไปทำงานได้ แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปปรึกษาแพทย์

อ้างอิง